วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week6 : วิเคราะห์ข้อสอบO-net คอมพิวเตอร์ 5 ข้อ

ข้อสอบ O-Net ปี 51

1.ข้อใดจัดเป็นโปรเเกรม DBMS

   1. โปรเเกรมภาษาโคบอล
   2. โปรเเกรมภาษาปาสคาล
   3. โปรเเกรมภาษาเบสิค
   4. โปรเเกรมภาษาซี
   5. โปรเเกรม SQL 

2.รายละเอียดข้อมูลที่เเสดงถึงคุณสมบัติของเอ็นติตี้ คือ
 
   1. Attribute
   2. Relationship
   3. Database
   4. Field

3. ความละเอียดของจอภาพสามารถบอกได้ด้วยปัจจัยในข้อใด

  1. CRT
  2. Dot Pitch
  3. Refresh rate
  4. Color quality

4. ใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์อย่างไรจึงช่วยลดภาวะโลกร้อน

  1. ปิดเครื่องเมื่อไม่ใช้งาน และพิมพ์งานเมื่อจำเป็น
  2. เลือกใช้จอแอลซีดีและปรับปรุงซอฟต์แวร์ให้ทันสมัย
  3. ใช้คอมพิวเตอร์วันละ 1 ชม.และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ
  4. ไม่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายและใช้เครื่องพิมพ์แบบ Inkjet เท่านั้น

5. ข้อใดคือวิธีทำรายงานโดยค้นคว้าข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตที่ถูกต้อง

  1. ค้นหาบทความในอินเทอร์เน็ตโดยใช้ search engine แล้วคัดลอกมาเป็นรายงาน
  2. ค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยใช้ search engine แล้วคัดลอกมาทำรายงานพร้อมอ้างอิงเอกสารต้นฉบับ
  3. ค้นข้อมูลเพื่อทำรายงานโดยใช้ search engine แล้วคัดลอกมาเป็นรายงานพร้อมอ้างอิง search engine
  4. ค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยใช้ search engine แล้วอ่านข้อความ สรุปใจความรายงาน พร้อมอ้างอิงเอกสารต้นฉบับ


ที่มา : http://www.tewfree.com/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A-o-net-%E0%B8%A1-6-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%A2/

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 5 : เมนูของหวานหลากหลายที่ไม่อยากให้คุณพลาด

สวัสดีคะ ร้อนๆเเบบนี้ถ้าจะหาอะไรทานสักอย่าง
ของหวาน
ก็คงเป็นหนึ่งตัวเลือกที่สำคัญของใครหลายๆคนเลยใช่มั้ยคะ
วันนี้เจ้าของบล๊อคขอนำเสนอ "เมนูของหวานที่สาวกของหวานทั้งหายไม่ควรพลาด"
มีอะไรกันบ้างเชิญชมได้เลยคะ >_</


เริ่มที่ร้านเเรก
"ไล-บรา-รี่"
ซอยสุขุมวิท 24

ร้านชิวๆบรรยากาศสบายๆต้องที่ร้านนี้เลยคะ >w<

เมนูที่อยากเเนะนำคือ..
"ไลบรารี่วาฟเฟิล"
เป๋นวาฟเฟิลใบเตย ที่เป็น signature ของร้านนี้เลยคะ

"บานอฟฟี่"
รสชาติเบาๆหวานกำลังดีเลยคะ เเนะนำให้ไปลองกันนะค่ะ

ร้านที่2
"After you"
เเทบจะไม่ต้องรีวิวเลยคะร้านนี้เพราะเจ้าของบล๊อคเชื่อว่าสาวกของหวานหลายๆท่านต้องเคยไปต่อเเถวเพื่อลิ้มลองรสชาติอันเลื่องชื่อของ after you กันอย่างเเน่นอนคะ 

"Nutella Toast"

"Ferrero Toast"

"Ferrero Cake"

ใครยังไม่เคยลองเมนูไหนก็ไปลองกันได้นะคะ^__^

มาต่อกันที่ร้านที่ 3 กันเลยคะ
"Petite Audrey"
ร้านนี้จะเป็นโรตีกับไอติมคะ

น่ากินมากๆเลยย

ร้านที่4
"Vanilla Garden"
ร้านสาวกของหวานคนไหนชอบทานบราวนี่ห้ามพลาดเลยนะคะ


นอกจากบราวนี่เเล้วร้านนี้ยังมีอย่างอื่นให้ลิ้มลองกันด้วยน้าา


ชอบเมนูไหนลองไปทานกันได้น้าา>__< 

ร้านที่5
"Cupcake Love"
ใครอยากลองทานคัพเค้กอร่อยๆต้องห้ามพลาดร้านนี้เลยคะ


ร้านที่6
"Taruto"
ร้านเค้กสไตล์ญี่ปุ่นกับหลากหลายเมนูเค้กเเสนน่าทาน

"นมฮอกไกโดเซตโตะ"
ประกอบด้วยทารุโตะหน้านมฮอกไกโด เสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมชาเขียวเเละ๙๊อกโกเเลต เคียงด้วยวิปครีมนุ่มๆ
"นูเทล่าสตอเบอร์รี่โทสต์"
ขนมปังทานูเทล่า เสิร์ฟพร้อมกับวิปครีม สตอเบอร์รี่สด ไอศกรีมวานิลาสองลูก เเละซอสสองอย่าง


เป็นไงบ้างคะกับร้านของหวานที่น่าลองในกรุงเทพเพื่อนๆเคยไปลองที่ไหนกันบ้างเเล้วคะ

ขอบคุณข้อมูลเเละรูปสวยๆจาก: http://pantip.com/topic/33183276

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week4: โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (C)

(รูปโดย tweet4tutorial.com)


          ก่อนจะมารู้จักกับภาษาซี ( C ) เราต้องมารู้จักกับคำว่าโปรแกรมภาษาคอมพิมเตอร์กันก่อน                   ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์คือ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำคัญคือหากไม่มีภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากขาดชุดคำสั่งในการทำงาน

(รูป ตัดต่อเอง)


            คอมพิวเตอร์จะสามารถทำงานได้จะต้องมีการเขียนโปรแกรมหรือซอร์ฟแวร์ เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานโปรแกรมต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นมานั้น จะต้องเขียนไปตามกฎเกณฑ์ของภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
           ภาษาของคอมพิวเตอร์นั้นมีหลายระดับ โดยจะเรียกว่า ระดับของภาษา     
           ซึ่งระดับของภาษา (Level of Languages) นั้นแบ่งออกเป็น
  1. ภาษาเครื่อง (Machine Languages)
  2. ภาษาแอสแซมบลี (Assembly Languages)
  3. ภาษาระดับสูง (High-level Languages)
  4. ภาษาระดับสูงมาก (Very High-level Languages)
  5. ภาษาธรรมชาติ (Natural Languages)

           จากเนื้อหาข้างต้น เราก็ได้ทราบว่าโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์คืออะไรแล้ว จึงขอยกโปรแกรมภาษามาชนิดหนึ่งก็คือ ภาษาซี ซึ่งจัดอยู่ในระดับภาษาเครื่อง (Machine Languages)


(รูปโดย a2.mzstatic.com)


           ภาษาซี (C Programming Language) คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ใช้สำหรับพัฒนาโปรแกรมทั่วไป ถูกพัฒนาครั้งแรกเพื่อใช้เป็นภาษาสำหรับพัฒนาระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ ( Unix Opearating System) แทนภาษาแอสเซมบลี ซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำที่สามารถกระทำในระบบฮาร์ดแวร์ได้ด้วยความรวดเร็ว แต่จุดอ่อนของภาษาแอซเซมบลีก็คือความยุ่งยากในการโปรแกรม ความเป็นเฉพาะตัว และความแตกต่างกันไปในแต่ละเครื่อง เดนนิส ริตชี (Dennis Ritchie) จึงได้คิดค้นพัฒนาภาษาใหม่นี้ขึ้นมาเมื่อประมาณต้นปี ค.ศ. 1970 โดยการรวบรวมเอาจุดเด่นของแต่ละภาษาระดับสูงผนวกเข้ากับภาษาระดับต่ำ เรียกชื่อว่า ภาษาซี 



(รูปโดย listverse.com)


          เมื่อภาษาซี ได้รับความนิยมมากขึ้น จึงมีผู้ผลิต compiler ภาษาซีออกมาแข่งขันกันมากมาย ทำให้เริ่มมีการใส่ลูกเล่นต่างๆ เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ ทาง American National Standard Institute (ANSI) จึงตั้งข้อกำหนดมาตรฐานของภาษาซีขึ้น เรียกว่า ANSI C เพื่อคงมาตรฐานของภาษาไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไป
โครงสร้างของโปรแกรมภาษาซี และตัวอย่าง
          โปรแกรมในภาษาซีทุกโปรแกรมจะประกอบด้วยฟังก์ชันอย่างน้อย หนึ่งฟังก์ชัน คือ ฟังก์ชัน main โดยโปรแกรมภาษาซีจะเริ่มทำงานที่ฟังก์ชัน main ก่อน ในแต่ละฟังก์ชันจะประกอบด้วย 
          1. Function Heading ประกอบด้วยชื่อฟังก์ชัน และอาจมีรายการของ argument (บางคนเรียก parameter) อยู่ในวงเล็บ 
          2. Variable Declaration ส่วนประกาศตัวแปร สำหรับภาษาซี ตัวแปรหรือค่าคงที่ทุกตัว ที่ใช้ในโปรแกรมจะต้องมีการประกาศก่อนว่าจะใช้งานอย่างไร จะเก็บค่าในรูปแบบใดเช่น interger หรือ real number 
          3. Compound Statements ส่วนของประโยคคำสั่งต่างๆ ซึ่งแบ่งเป็นประโยคเชิงซ้อน (compound statement) กับ ประโยคนิพจน์ (expression statment) โดยประโยคเชิงซ้อนจะอยู่ภายในวงเล็บปีกกาคู่หนึ่ง { และ } โดยในหนึ่งประโยคเชิงซ้อน จะมีประโยคนิพจน์ที่แยกจากกันด้วยเครื่องหมาย semicolon (;) หลายๆ ประโยครวมกัน และ อาจมีวงเล็บปีกกาใส่ประโยคเชิงซ้อนย่อยเข้าไปอีกได้ 


ที่มา

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 3 : Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

การใช้Social Networkของวัยรุ่นไทย



ยุคที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รูปแบบการสื่อสารได้มีวิวัฒนาการจากการใช้นกพิราบสื่อสาร ไปเป็นการใช้โทรเลข โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และเข้าสู่ยุคของอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีการพัฒนารูปแบบในติดต่อสื่อสารมาแล้ว 2 ยุคนั่นคือ
 ยุคเว็บ 1.0 ยุคของการสนทนาแบบจุดต่อจุด (Point-to-point) เป็นการสื่อสารระหว่างผู้สร้างเว็บ (Webmaster) กับผู้ที่เข้ามาใช้บริการบนเว็บนั้นๆ ซึ่งเป็นลักษณะของการสื่อสารทางเดียว (One-way Communication) ที่ผู้ใช้เว็บไม่สามารถตอบโต้ หรือแก้ไขข้อมูลต่างๆ ได้ ซึ่งรูปแบบหรือเนื้อหาที่สื่อสารถึงกันนั้นจะมีลักษณะเป็นการรับ-ส่งอีเมล์ (E-Mail), เข้าแชตรูม (Chat Room), ดาวน์โหลดภาพและเสียง หรือไม่ก็ใช้การค้นหาผ่านเว็บ Search Engine เพื่อหาข้อมูลหรือรายงาน รวมทั้งการใช้ Web board เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เช่น Instant Messaging Program หรือ IM อาทิ MSN, Yahoo Messenger, Google Talk, Chat และ ICQ
  
 ยุคเว็บ 2.0 เป็นการสื่อสารระหว่างผู้สร้างเว็บกับผู้ที่ใช้เว็บแบบตอบโต้กันไปมาได้ เรียกว่า การสื่อสารแบบสองทาง (Two-way Communication) ซึ่งเนื้อหาบนเว็บนั้นนอกจากผู้สร้างเว็บจะเป็นคนนำเสนอข้อมูลแล้ว ผู้ที่เข้ามาอ่านก็สามารถสร้างเนื้อหาหรือตอบโต้กันเองได้และมีการสื่อสารกันเป็นจำนวนมากจาก 1 ไปเป็น 2 3 จนกลายเป็นสังคมเครือข่าย (Social Networking) ซึ่งลักษณะของการสื่อสารกันนั้นจะเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน การแบ่งปันสิ่งที่ตนเองมีในลักษณะของการร่วมกันผลิตเนื้อหาและข้อมูลภายในเว็บ การร่วมกันสร้างสรรค์ (Co-Creation) ขยาย (Extend) และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ (Connect) ระหว่างผู้ใช้ด้วยกัน อีกทั้ง ยังมุ่งเน้นให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วและเป็นรูปแบบที่มีความเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล เช่น Wikipedia, Weblog, Facebook, Hi5, YouTube, Myspace, Twitter เป็นต้น

Social Networking ในปัจจุบันอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ “กระแสความนิยม” ในลักษณะวิ่งตามแฟชั่น (Trends) เท่านั้น และความนิยมดังกล่าวจะยังกระจุกตัวอยู่ในสังคมเมือง โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นซึ่งกำลังอยู่ในยุค Net Generation ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของสังคมที่มีความนิยมในการใช้อินเตอร์เน็ต และ Social Networking สูง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างการยอมรับในสังคม แต่ในอีก 10-20 ข้างหน้า เมื่อคนกลุ่มนี้เติบโตขึ้นไปพร้อมๆ กับพัฒนาการของเทคโนโลยี พวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มพลังสำคัญในการผลักดันให้อัตราเร่งของการใช้งาน Social Networking เพิ่มมากขึ้น อย่างต้าน ไม่อยู่ และอาจกลายเป็น “สื่อหลัก” (Mainstream Media) แห่งการสื่อสาร สื่อที่ทุกคนในสังคมต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารแทนที่สื่อเดิม (Traditional Media) ที่ปัจจุบันกำลังถูกลดบทบาทลง เพราะตราบใดที่การพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง มีรูปแบบการใช้งานที่ง่าย มีเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง 3G หรือ 4G ที่สามารถทำให้การติดต่อสื่อสารเร็วขึ้น และตอบสนองได้อย่างทันทีทันใด (Real Time) รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่ออย่างคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือก็มีราคาถูก ผู้ให้บริการต่างก็หันมาพัฒนารูปแบบการให้บริการที่มีราคาไม่แพงและสามารถตอบสนองความต้องการมากยิ่งขึ้น สิ่งที่สำคัญคือ กลุ่มวัยรุ่นที่เคยเป็นผู้นำกระแสความนิยมในยุคปัจจุบัน ก็จะกลายเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมที่มีบทบาทในการใช้ Social Networking เป็นช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสาร เมื่อเป็นเช่นนี้ ในอนาคตคนในสังคมโลกมีแนวโน้มว่าอาจต้องใช้ Social Networking เป็นช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสาร และเป็นไปได้ว่า รูปแบบการสื่อสารในสังคมโลกยุคต่อไปจะดำรงอยู่บนโลกเสมือนจริง (Virtual Communication) มากกว่าการสื่อสารที่อยู่บนโลกของความเป็นจริง ดังนั้น เราคงต้องให้ระยะเวลาเป็นตัวขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป

เด็กวัยรุ่นในปัจจุบันที่ค่อนไปทาง Generation Z นั้นถูกยกว่าเป็นประชากรยุคที่โตขึ้นกับ Digital Technology โดยแท้จริง รวมทั้งการที่มีชีวิตช่วงวัยรุ่นมากับ Social Media อย่าง Facebook Twitter และ Instagram ซึ่งแน่นอนว่าต่างกับยุค Generation X / Y ที่อาจจะมีอย่างมากคือเว็บไซต์ เว็บบอร์ด หรือโปรแกรมแชทต่างๆ (อย่างดีก็ Hi5) นั่นทำให้นักการตลาดหลายๆ คน​ (ที่อยู่ในยุค Gen X / Y) พยายามหาคำตอบว่าวัยรุ่นยุคใหม่นั้นจะมีพฤติกรรมการใช้ Social Media อย่างไร 
Pew Research Center ได้รวบรวมข้อมูลและผลสำรวจต่างๆ มาอธิบายรูปแบบพฤติกรรมการเปิดเผยข้อมูลของวัยรุ่นใน Social Media แล้วทำเป็น Infographic เพื่อให้ดูง่ายต่อการเข้าใจ โดยต้องบอกกันก่อนนิดนึงว่านี่เป็นข้อมูลในฝั่งอเมริกาเสียเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามวัยรุ่นชาวไทยก็คงมีพฤติกรรมไม่ได้ทิ้งกันมากนัก อาจจะต่างกันเล็กน้อยในแง่การกระจายของเทคโนโลยี
  • 91% ของวัยรุ่นมีกาณโพสต์รูปภาพของตัวเองใน Social Media ในขณะที่ 24% มีการโพสต์วีดีโอของตัวเอง
  • 53% ของวัยรุ่นมีการโพสต์เปิดเผยอีเมล์ของตัวเองใน Social Media ในขณะที่ 20% มีการเปิดเผยเบอร์โทรศัพท์
  • 26% ของวัยรุ่นบอกว่าให้ข้อมูลปลอมบน Social Media เพื่อช่วยป้องการความเป็นส่วนตัว
  • ในบรรดาความสัมพันธ์บน Facebook นั้น กลุ่มที่เป็นเพื่อนมากที่สุดคือเพื่อนที่โรงเรียน ในขณะที่ครูและอาจารย์จะมีเพียง 30%
  • 33% ของเพื่อนบน Facebook ไม่เคยมีการเจอตัวจริงแต่อย่างใด
  • 30% มีการติดตามดารา นักกีฬา หรือคนมีชื่อเสียง
  • 60% มีการตั้ง Facebook Profile เป็น Private Account แต่มีเพียง 24% ที่ใช้ Twitter Private Accoun

Week 2 : รีวิวบุฟเฟต์เค้ก BAKE A WISH

ร้านเปิด10.00น.-20.00น.ค่ะ สำหรับบุฟเฟ่ต์จะมีจันทร์ถึงศุกร์ (กำหนดเวลาคือ1ชั่วโมง30นาที) เวลาประมาณ11.00น.-6.30น. คือปิดรับลูกค้าคนสุดท้ายตอน6.30น.และลูกค้านั่งทานไปจนร้านปิดเลยค่ะ 
    มีโปรโมชั่นสำหรับนักเรียนนักศึกษาได้ราคา300บาท//ปกติ380บาท ผู้ใหญ่ทั่วไป450บาท 
ที่นั่งอยู่บริเวณชั้น3ค่ะ 
 ร้านเค้กก็ต้องนึกถึงบุฟเฟ่ต์เค้ก แต่มีอาหารให้บริการด้วยเหมือนกันค่ะ
มาดูขนมกันดีกว่าค่ะ







ชาพีชค่ะ หอม เปรี้ยวนิดๆหวานหน่อยๆ ตัดเลี่ยนได้ดีค่ะ นอกจากชาพีชก็มีชาแอปเปิ้ล โกโก้ ชาเขียว //การันตีว่าเมนูเครื่องดื่มที่นี่อร่อยทุกอย่างค่ะ นอกจากนี้ยังมีน้ำอัดลมกับน้ำเปล่าบริการด้วยค่ะ อยู่ในบุฟเฟต์ทั้งหมด 

Special Dish!!
นอกจากอาหาร ขนม เครื่องดื่ม ยังมีไอศครีมด้วยค่ะ
สำหรับการบริการจัดว่าโอเคค่ะ พนักงานยิ้มแย้มบริการดี โดยเฉพาะชั้น4ที่เป็นบุฟเฟ่ต์ เหมือนขึ้นสวรรค์จริงๆค่ะ ขนมเต็มไปหมด แถมยังมีคนคอยบริการส่งถึงที่
รสชาติอาหารขนมอยู่ในเกณฑ์ดีค่ะ คุณภาพตามชื่อเสียงของร้านเลย จะเสียตรงที่เมนูอาหารยังขาดความหลากหลายไปหน่อย ส่วนขนมเค้กไม่ต้องพูดถึงค่ะเยอะจนเลือกไม่ถูกบางเมนูก็ไม่เห็นวางขายที่ตู้ชั้นล่าง มีให้เลือกเยอะมากจริงๆค่ะ 
ร้านก็สะอาดดีค่ะ หลังจากปิดร้านปรับปรุงไปครั้งใหญ่รู้สึกว่าความสะอาดดีขึ้นมากๆเลยค่ะ ชอบดีไซน์ของร้านที่ทำให้รู้สึกกว้างได้ทั้งๆที่เป็นแค่ตึกแถวตึกเดียว 

ราคา : ผู้ใหญ่/ทั่วไป450.- นักเรียน/นักศึกษา 380.- (บัตรนักเรียน/นักศึกษา/ในเครื่องแบบ+โชว์บัตรประชาชนอายุไม่เกิน22ปี)
โปรโมชั่น : เฉพาะนักเรียนนักศึกษา ราคา300บาท //หมดโปรโมชั่นสิ้นเดือนมิถุนายน
เวลา : ร้านเปิด10.00น.-20.00น. บุฟเฟ่ต์เปิด11.00น.-6.30น. (เวลารับประทาน1ชั่วโมง30นาที)
ที่ตั้ง : ร้านเบคอะวิช ซอยสุขสวัสดิ์19 ถนนสุขสวัสดิ์ 

เครดิต: http://pantip.com/topic/32205949

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week1 : เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันของนักเรียน

 ปัจจุบันเทคโนโลยีหรือไอทีเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมาก โดยเฉพาะในหมู่ของวัยรุ่น เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำงาน การสืบค้นข้อมูล รวมไปถึงการติดต่อสื่อสาร



 ทคโนโลยี คือ การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ การศึกษาพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ ก็เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติกฎเกณฑ์ของสิ่งต่างๆ และหาทางนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์เทคโนโลยีจึงเป็นคำที่มีความหมายกว้างไกลเป็นคำที่เราได้พบเห็นและได้ยินอยู่ตลอดเวลา เทคโนโลยีนั้นสามารถทำให้เราเชื่อมต่อกับคนทั้งโลกได้เพียงในเวลาไม่กี่วินาทีและสามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆหรือสืบค้นข้อมูลได้ในเวลาไม่นาน 


แต่อย่างไรก็ตาม การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวันก็เปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน เพราะในบางครั้งก็นำโทษมาให้แก่มนุษย์ด้วยเช่นกันเหมือนที่เราพบได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ในปัจจุบันเกี่ยวกับการถูกหลอกไปข่มขืนบางหรือหลอกในเสียเงินและทรัพย์สินบาง เนื่องจากการนำมาเทคโนโลยีมาใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่นการคุยกับคนแปลกหน้าบนโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คทำให้ถูกหลอกล่วงได้ นอกจากนี้ก็ยังมีการนำเสนอเว็ปไซด์ที่เป็นเว็ปไซด์โป๊ หรือมีการนำเสนอสิ่งที่อนาจารลงในเว็ปไซด์ และ จนเป็นเหตุทำให้นำไปสู่การกระทำอันผิดทางเพศในปัจจุบัน


        จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีมีทั้งประโยชน์และโทษ ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีที่ถูกวิธีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และต้องไม่ใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดที่จะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อทั้งตนเองและผู้อื่น และในขณะเดียวกันมนุษย์เราก็จะต้องหันกลับมาพึ่งพาตัวเองบ้าง และใช้เทคโนโลยีเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

เครดิต : http://my.dek-d.com/hierophant/blog/


            :http://kmc.lpg3.go.th/wp-content/uploads/2013/03/images-2.jpg